เรื่องราวของกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สร้างบาปบุญคุณโทษกับผู้อื่นเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ผู้สร้างย่อมได้รับผลตอบสนองอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง จะเร็วหรือช้านั้นก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมนั้น ดังตัวอย่างเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
นางนวลปรางค์เป็นสาวงามประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในวัยสาวหล่อนเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มในหมู่บ้านเดียวกันหรือใกล้เคียง แต่ผู้ที่สามารถครอบครองหัวใจของสาวนวลปรางค์ได้คือนายมนูญศักดิ์ นายตำรวจยศสิบเอก ซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาคมสัน แม้ว่าฐานะทางบ้านจะไม่ค่อยนัก แต่ทั้งสองผูกสมัครรักใคร่และได้เข้าสู่พิธีวิวาห์ตามประเพณีในที่สุด
อยู่กินกันมาหลายปีจนมีลูกด้วยกันคนหนึ่งชื่อว่า “เอ” เขาอายุได้ 6 ปี นางนวลปรางค์ก็พาลูกชายสุดที่รักเดินข้ามสะพานซึ่งทอดผ่านลำห้วยไปยังป่าอีกฟากหนึ่งซึ่งมีรังนกอยู่ชุกชุมเพื่อเสาะหาไข่ของมันมาเป็นอาหาร
“อย่าไปเอาของมันเลยแม่”
เจ้าเอแม้จะอยู่ในวัยเด็กก็ยังรู้ถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษมากกว่าตัวนางนวลปรางค์ผู้เป็นมารดาซะอีก
“เราหาหน่อไม้ไปแกงดีกว่า”
“เอ็งเฉยๆ เถอะน่า”
นางนวลปรางค์หันมาดุลูกชายพร้อมจัดแจงป่ายปีนขึ้นบนต้นไม้ชายห้วย ซึ่งมีรังนกอยู่ตรงคาคบ หวังจะเก็บไข่ของมันเพื่อจะเอาไปประกอบอาหารที่บ้าน แต่เมื่อขึ้นไปแล้วรู้สึกผิดหวัง เมื่อพบว่าไข่ได้ฟักเป็นตัวแล้วลูกนกทั้ง 5 กำลัง ส่งเสียงเจี๊ยบๆ เมื่อผู้เป็นพ่อและแม่ของมันคาบเหยื่อบินกลับมาให้ แต่เมื่อเห็นมนุษย์คือนางนวลปรางค์ปีนต้นไม้ขึ้นไปอยู่ที่รัง มันจึงไม่กล้าเข้ามาได้แต่บินวนอยู่แถวต้นไม้ใกล้ๆ
“แม่…” เจ้าเอตะโกนเรียกมารดา “ลงมาเถอะ”
นางนวลปรางค์ก้มหน้ามองลูกชายอย่างไม่ค่อยพอใจก่อนที่จะคว้ายางไม้เหนียว ซึ่งเตรียมไว้หย่อนใส่รังนกของนกครอบครัวนั้นแล้วปีนลงมาซุ่มดูอยู่ที่โคนกอไผ่
ฝ่ายพ่อแม่นกเมื่อเห็นศัตรูลงไปแล้ว ก็รีบเอาเหยื่อมาป้อนให้ลูกเพราะรู้ว่าจะรอกันจนหิวโหย แต่พอบินลงมาเกาะที่รัง ขนปีกก็ติดยางไม้ ซึ่งนางนวลปรางค์วางดักเอาไว้
“เสร็จล่ะ…คราวนี้ได้ทั้ง 2 ตัว เลยจะเอามันไปแกงให้พ่อเอ็งกิน”
นางนวลปรางค์บอกกับลูกชาย พร้อมปีนต้นไม้ขึ้นไปใหม่ พ่อกับแม่นกปีกติดยางไม้ขยับบินไม่ได้ จึงพยายามดิ้นด้วยความตกใจ กว่านางนวลปรางค์จะปีนขึ้นไปถึงแม่นกก็ดิ้นจนกระจุยกระจายแต่ก็สามารถบินหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด นางนวลปรางค์จึงจับได้แต่พ่อนกตัวเดียวเท่านั้น มิหนำซ้ำยังปล่อยให้ลูกๆ ของมันอดตายอยู่ในรังด้วย เพราะตัวเล็กเกินกว่าที่จะนำมาประกอบอาหารได้
เย็นวันนั้นนางนวลปรางค์ทำแกงนก ซึ่งจับมาได้จากหลายๆ รังไว้รอท่าสามี กลับมาจากการทำงานจนถึงตอนเย็น ส.อ. มนูญศักดิ์ ก็เดินมาพร้อมกับจ่าเสริฐ ผู้เป็นเพื่อนรุ่นพี่ท่าทางรีบร้อน
“เอ้อ…ฉัตร” ส.อ. มนูญศักดิ์บอกกับผู้เป็นภรรยา
“หาข้าวเผื่อจ่าเสริฐเขาด้วยนะ เดี๋ยวเราต้องไปจับผู้ร้ายปล้นควายด้วยกันที่ทุ่งฝั่งโน้น”
“ปล้นกันเมื่อไหร่พี่” นางนวลปรางค์ซัก
“ตั้งแต่เมื่อคืน สายสืบบอกว่าเป็นคนฝั่งทุ่งโน้นแหละ คาดว่าคืนนี้มันอาจจะย้อนกลับมาบ้านเอาเงินมาให้เมียมัน เจ้านายเขาให้ไปซุ่มดักรอ”
“ระวังตัวนะ…พี่นะ”
“เอ็งอย่าเป็นห่วงพี่เลย เราไปดักซุ่มกันตั้งหลายคน”
หลังจากจัดการกับอาหารมื้อค่ำเสร็จ ส.อ.มนูญศักดิ์กับจ่าเสริฐก็ไปร่วมกับพรรคพวกที่โรงพักคำสั่งขั้นสุดท้ายตามแผนการแล้วก็เดินทางข้ามทุ่งไปรอยังจุดนัดหมาย
นางนวลปรางค์ดับตะเกียงนอนในตอนหัวค่ำ ฝนลงเม็ดมาปรอยๆ บรรยากาศน่าสบาย แต่ด้วยความเป็นห่วงสามี นางจึงคิดโน่นคิดนี่ไปสารพัด กว่าจะหลับก็เกือบเที่ยงคืนและได้ฝันเห็นนางนกตัวที่ติดยางไม้แต่ดิ้นหนีไปได้
“เอาชีวิตผัวข้าคืนมานะ” นางนกตัวนั้นบินวนไปรอบๆ ร่างของนางนวลปรางค์ ซึ่งกำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเพราะถูกมันจิกตีจนเจ็บปวดไปทั่วทั้งกาย
“เอาชีวิตสามีกับลูกข้าคืนมา”
“อย่า…อย่า…ช่วยด้วย…อย่า”
นางนวลปรางค์ตกใจละเมอเสียงสั่นจนเจ้าลูกชายซึ่งนอนอยู่ข้างๆ รู้สึกตัวตื่นรีบเอามือเขย่าผู้เป็นมารดา
“แม่…แม่เป็นอะไรไป”
“เอ…”
นางนวลปรางค์เริ่มได้สติ ลุกขึ้นมานั่งหอบหายใจอยู่ชั่วครู่ จึงเปิดมุ้งออกมา จุดตะเกียงหาน้ำดื่มแก้คอแห้ง
“แม่เป็นอะไรไปเหรอ”
“เปล่าหรอกเอ เอ็งนอนซะเถอะ”
“พ่อยังไม่กลับเลยแม่”
“เดี๋ยวก็คงกลับ เอ็งนอนซะเถอะ…เชื่อแม่ซิ”
พอเจ้าเอล้มตัวลงนอนก็มีเสียงเคาะประตูอยู่ที่หน้ากระท่อม นางนวลปรางค์รีบเดินไปเปิดเพราะคิดว่าสามีกลับมาแล้ว แต่คนที่ยืนอยู่คือจ่าเสริฐกับเพื่อนตำรวจอีก 4-5 คน
“อ้าวจ่า…” นางนวลปรางค์ทำท่าตกใจเพราะผิดคาด
“แล้วพี่มนูญศักดิ์ล่ะ”
“เอ็งทำใจดีๆ ไว้นะฉัตร” จ่าเสริฐเม้มปากก่อนที่จะเล่าต่อ
“เมื่อตอนเที่ยงคืน พวกข้าไปดักซุ่มจับโจรลักควาย แต่พวกมันมาหลายคนเลยเกิดการยิงต่อสู้ มนูญศักดิ์มันโชคร้าย”
“ห๊า…” นางนวลปรางค์หน้าซีด
“พี่มนูญศักดิ์เป็นอะไร”
“มนูนศักดิ์มันถูกกระสุนปืนของพวกโจรเข้าที่หน้าอกเสียชีวิตไปแล้ว”
นางนวลปรางค์ปล่อยโฮออกมาทันที จ่าเสริฐและพรรคพวกได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนยังไง หล่อนร้องให้เป็นวรรคเป็นเวร จนในที่สุดก็เป็นลมหมดสติไป
“เอาสามีกับลูกข้าคืนมานะ…เอาสามีกับลูกฉันมานะ”
นางนวลปรางค์หลับไปนานเกือบ 2 ชั่วโมง จึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในระหว่างนั้นก็ฝันถึงแต่นางนกซึ่งมาทวงชีวิตสามี และลูกของมัน พวกชาวบ้านก็รู้ข่าวต่างมาช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อให้พิธีศพของ ส.อ.มนูญศักดิ์ผ่านไปได้ด้วยดี
เมื่อขาดสามีซะแล้วฐานะทางบ้านของนางนวลปรางค์ก็ยิ่งแย่กว่าแต่ก่อน เจ้าเอป่วยเป็นไข้ป่าหรือไข้มาลาเรีย ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีเพราะขาดเงินทองและอยู่ไกลหมอ จึงเสียชีวิตตามผู้เป็นพ่อไปอีกคนหนึ่งในเวลาไม่นานนัก
เวลานี้นางนวลปรางค์เหลือเพียงตัวคนเดียวโดดเดี่ยว แต่เนื่องจากเคยเป็นคนสวยมาก่อนและวัยก็เพิ่งจะ 29 ปีเท่านั้น ในที่สุดนางก็ได้นายดม หนุ่มพเนจรซึ่งเดินทางมาเป็นลูกจ้างทำไร่ในหมู่บ้านเป็นสามีคนที่สอง
อยู่กินกันกับนายดมมาหลายปี ก็ยังไม่มีบุตร อาจจะเป็นเพราะวัยล่วงเลยมาแล้วก็ได้ ทั้งสองจึงได้ขอบุตรสาวของคนยากจนมาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง มีชื่อว่า ศิริพร ในเวลานั้นฐานะของนางนวลปรางค์กับสามีค่อยดีขึ้นตามลำดับ เพราะนายดมเป็นคนขยันขันแข็ง และเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เวลาไปหาของป่ามาได้ไม่ว่าจะเป็น หนู นก กระรอก กระแต ซึ่งมีอยู่ชุกชุมในสมัยนั้นก็สามารถขายได้หมดในเวลารวดเร็ว
เราจะขอรวบรัดตัดตอนเหตุการณ์ต่างๆ ไปจนถึงตอนที่นางนวลปรางค์อายุเข้าสู่วัยกลางคนหรือประมาณ 30 กว่าปี ซึ่งตอนนี้นางเริ่มมีฐานะอยู่ในขั้นมีอันจะกินคนหนึ่งในหมู่บ้าน เพราะได้เปิดร้านขายของชำชนิดต่างๆ และได้รับการอุดหนุนจากเพื่อนบ้านเป็นอันดี โดยมีศิริพรซึ่งกำลังเป็นสาวสะพรั่งคอยช่วยเหลือ
ศิริพรเป็นคนใจบุญ เธอมักจะเอาข้าวที่เหลือก้นหม้อคลุกกับกระดูกและเศษก้างปลาไปวางไว้ให้หมาแมวกินเป็นประจำ แต่กลับเป็นที่ขัดหูขัดตาของนางนวลปรางค์ยิ่งนัก เพราะไม่ชอบสัตว์เหล่านั้นเอาซะเลย
ในเย็นวันหนึ่งซึ่งศิริพรไปอยู่เพราะต้องไปซื้อของที่ตลาดมาเพิ่มเติม พวกหมาแมวที่เคยกินอาหารก็มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ ครัว นางนวลปรางค์กับนายดมสามีกำลังนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้นางรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
“ไอ้หมาแมวพวกนี้มันกวนใจฉันจริงๆ”
“ช่างมันเถอะน่า” นายดมส่ายหน้า “ศิริพรมันไม่อยู่ เดี๋ยวข้าจะขยำข้าวให้มันเอง”
“ฮึ” นางนวลปรางค์สะบัดหน้า
“เอาไปให้มันทำไม”
“อ้าว…ก็ข้าวมันเหลือก้นหม้อทำบุญทำทานให้มันซะบ้างซิ”
“ฟุ่มเฟือยไม่เข้าเรื่อง”
นางนวลปรางค์ทำท่าทางไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำเพราะนายดมเป็นคนดุเวลาโมโหขึ้นมามักจะตบตีนางอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เมาเหล้า แต่ปกติเป็นคนใจดีขยันขันแข็ง
พอจัดการกับอาหารมื้อค่ำเสร็จ เพื่อนของนายดมก็มาตามให้ไปธุระด้วยกันที่บ้านของญาติคนหนึ่ง นายดมจึงหันมาสั่งนางนวลปรางค์ให้ทำการขยำข้าวแทนตนแล้วเอาไปใส่กะละมังใบเล็กๆ ที่โคนต้นไม้ เพื่อให้พวกหมาแมวกินก่อนที่จะออกจากบ้านไป
นางนวลปรางค์ไม่ยอมปฏิบัติตาม มิหนำซ้ำยังคว้าไม้ไล่ตีพวกหมาแมวเหล่านั้นจนกระเจิงไปตัวละทางสองทาง
“เหมียว…เหมียว…”
ขณะที่กำลังเก็บกวาดข้าวของอยู่นั้นก็มีลูกแมวตัวหนึ่งมาเดินป้วนเปี้ยนในครัว ท่าทางจะหลงแม่จึงหิวจัด เพราะไม่ได้กินนม แทนที่จะสงสารนางนวลกลับคว้าไม้ขัดหม้อขึ้นมาถือแล้วหวดใส่ลูกแมวตัวนั้นสุดแรงเกิด
พลั๊ก…แม๊วว์ว์…
ลูกแมวผู้น่าสงสารส่งเสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เพราะถูกฟาดที่สะโพกอย่างแรงจนขาข้างหลังทั้งสองข้างหักเดินไม่ได้ มันต้องค่อยๆ พยายามใช้ 2 ขาหน้า คลานลากสังขารตัวเองหนีไม้ขัดหม้อ ซึ่งนางนวลปรางค์ยังคงกระหน่ำตีอย่างไม่ยั้ง ถูกมั่งผิดมั่ง แต่ก็เล่นเอาลูกแมวตัวนั้นเป็นสัตว์พิการไปตลอดชีวิต
“ตายแล้วใครทำอะไรแกนี่”
เย็นวันรุ่งขึ้นในขณะที่ศิริพรเอาข้าวคลุกปลาทูมาใส่ในกะละมังใบเล็กๆ ที่โคนต้นไม้ ก็ต้องร้องออกมากอย่างตกใจ เมื่อเห็นลูกแมวตัวนั้นคลานลากขามากินอย่างทุลักทุเล
เจ้าลูกแมวตัวนั้นมีชีวิตอยู่อย่างน่าสงสารและทุกข์ทรมานอีกหลายวัน ในที่สุดก็นอนสิ้นใจอย่างสงบอยู่ใกล้ๆ โคนต้นไม้ที่มันเคยคลานมากินข้าวนั่นเอง
วันเวลาผ่านไปอีกหลายปี บัดนี้นางนวลปรางค์กลายเป็นหญิงแก่ชราที่ช่วยตัวเองไม่ได้ซะแล้ว เวลาจะไปไหนก็ต้องใช้คนช่วยพยุง แล้วหนึ่งนางก็หกล้มในห้องน้ำอย่างแรงจนเอวเดาะไม่สามารถลุกเดินเหินได้เหมือนเมื่อก่อน
“มันเจ็บที่สะโพกเหมือนกับใครเอาไม้มาหวดมาตีจนระบบไปหมด”
นางนวลปรางค์จะเล่าอาการให้คนที่มาเยี่ยมฟังคล้ายๆ กัน ซึ่งน่าจะเป็นอาการเดียวกับที่ลูกแมวตัวนั้น โดนนางหวดด้วยไม้ขัดหม้อเมื่อหลายปีก่อน เวลานี้นางนวลปรางค์มีสภาพไม่ผิดอะไรกับคนพิการต้องนอนซมอยู่กับที่ บางครั้งก็ถ่ายอุจจาระปัสสาวะเลอะเทอะ พวกลูกหลานจึงต้องย้ายลงมาไว้บนแคร่นอกบ้านเพื่อจะได้ทำความสะอาดง่าย
แคร่ดังกล่าวมีความยาวและกว้างใหญ่พอสมควร ในตอนบ่ายของทุกวัน ลูกหลานจะต่อสายยางไปฉีดทำความสะอาดและอาบน้ำให้เสร็จแล้ว นางนวลปรางค์จะคลานขาตัวเองกลับมายังที่นอนในลักษณะเดียวกับเจ้าลูกแมวตัวนั้นเลยทีเดียว เพราะขาหลังของนางไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย
นี่มันเป็นผลกรรมที่นางได้ทำไว้ในชาตินี้หรือไฉนจึงบันดาลให้เป็นไป นางนวลปรางค์ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายเดือนกว่าจะสิ้นใจ พ้นภาระของบรรดาลูกหลาน
ศิริพรกับนายดมผู้เป็นบุตรและสามีของนางนวลปรางค์มักจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ในทุกครั้งที่เห็นนางนวลปรางค์นอนร้องโอดโอยและดิ้นไปมายามที่นางเจ็บสะโพก รวมทั้งตอนที่นางคลานขากลับขึ้นไปที่นอน
หากไม่ใช่เป็นเพราะกรรมกำหนด แล้วสิ่งนี้สมควรเรียกว่าอะไร หวังใจว่าท่านที่อ่านเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นคงจะตอบคำถามได้