ธรรมะสวัสดี เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม ของ นักล่างู

10/09/2018 Admin

 

       ทุกคนมีกรรมเป็นของตน ไม่ว่าเราจะทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว ย่อมได้รับผลของกรรม (การกระทำ) นั้น เราจึงควรเลือกกระทำแต่ความดีที่เราเรียกว่าบุญกุศลนั่นเอง การกระทำใดแม้ไม่ให้ประโยชน์แก่บุคคลอื่น แต่ไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ก่อนกระทำนั้นย่อมเสมอตัวคือไม่ขาดทุนหรือได้กำไร

       แต่ถ้าการกระทำใดเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อผู้อื่น เรียกว่ากุศลกรรมหรือกรรมดี การกระทำนั้นได้ชื่อว่าได้กำไร

ในทางตรงกันข้าม หากการกระทำนั้นๆ เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำให้ตนเองเดือดร้อน (เช่นเล่นการพนัน) ผู้อื่นเดือดร้อน เราเรียกการกระทำนั้นว่า อกุศลกรรมหรือกรรมชั่ว

ฉะนั้นถ้าหวังประโยชน์สุขแก่ตนเองและผู้อื่น พึงกระทำความดีจนเป็นนิสัย อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า “ถ้ายังไม่สร้างบุญใหม่ก็จงอย่าใช้บุญเก่า” นั่นเอง

ข้าพเจ้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี บรรพบุรุษมีอาชีพทำนา เวลาน้ำหลากน้ำจะท่วมบริเวณท้องนา บรรดาสัตว์เลื้อยคลานต่างหาที่อยู่ใหม่ เช่นตามจอมปลวกใหญ่ๆ ตามต้นไม้สูงๆ

ข้างบ้านข้าพเจ้า เป็นครอบครัวของลุงชีพ แกอยู่ป้าสายและลูกสาวหนึ่งคนกับลูกชายอีกสองคน อาชีพของแกคือ จับงูขาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนหน้าน้ำแกจะจับงูได้มากเป็นพิเศษ คือหาบริเวณต้นไม้สูงๆ และตามจอมปลวกนั่นเอง จับงูเห่าและงูจงอางซึ่งราคาดีมาก (เพราะขายส่งตามร้านอาหารในเมือง)

 

        วันหนึ่งแกและครอบครัวออกไปหางูได้เกือบสิบตัว แกก็จัดการทำอาหารเย็นเสียตัวหนึ่งโดยลอกหนังและกระดูกออกทิ้ง สับเนื้อให้ละเอียดผัดพริกแห้งๆ ผสมพริกไทยดำ หอมน่ารับประทาน

หลังจากรับประทานอาหารร่วมกันทั้งครอบครัวแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ สำหรับลุงชีพนั่งสูบบุหรี่พลางนึกถึงแหล่งที่แกจะจับงูได้อีกในวันรุ่งขึ้น เพราะอาชีพนี้ทำให้แกลืมตาอ้าปากได้อย่างรวดเร็ว สามารถปลูกบ้านหลังใหญ่ได้ภายในไม่กี่ปี และมีเงินฝากธนาคารไว้อีกเล็กน้อย

เมื่อบุหรี่หมดม้วนแกก็ขว้างบุหรี่ลงดิน หันเข้าหาข้องซึ่งยังสานไม่เสร็จสานต่อไปตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเงินที่จะได้ในวันรุ่งขึ้น โดยไม่นึกถึงบาปกรรมที่หาความสุขจากชีวิตของผู้อื่นเลย

นี่แหละมนุษย์ที่เรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ ทั้งที่มนุษย์บางจำพวกนั้นมีสมองไว้ล้างผลาญเบียดเบียนผู้อื่นที่มีกำลังน้อยมาก สติปัญญาด้อยกว่าตลอดมา

ลุงชีพเข้านอนเมื่อเวลาห้าทุ่ม ภายในมุ้งเล็กๆ สำหรับนอนคนเดียวของแก แกหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แกรู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งก็ต่อเมื่อหลังของแกสัมผัสกับความนุ่มๆ ลื่นและเย็นๆ แกสะดุ้งสุดตัวใบหน้าซีดเผือก แกนึกรู้ทันทีว่าสิ่งนั้นคือ งู

และแกก็รีบเลื่อนตัวมาตรงกลางมุ้ง รีบนำหมอนและผ้าห่มกั้นมุ้งออก จากแสงจันทร์ที่ส่องลงมาทำให้แกเห็นงูเห่าหลายตัว วนไปมารอบๆ มุ้ง แกไม่กล้าแม้จะส่งเสียงให้ลูกได้ยิน

งูเหล่านั้นเลื้อยอยู่อย่างนี้ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงจากไป แกนึกได้ว่าตอนที่จับงูมาทำอาหารเย็นนั้นเองที่แกสะเพร่าไม่ได้ตรวจดูสลักให้ดี สลักคงหลวมและหลุดออกมา งูจึงออกจากข้องได้หมด นึกเสียดายเงินขึ้นมาฉับพลัน แต่รอดชีวิตมาได้ก็บุญหนักหนาแล้ว

ป้าสายนั้นตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น ก็เริ่มนึกถึงบาปบุญและเริ่มเข้าวัดถือศีล พร้อมกับชักชวนลุกชีพให้เลิกอาชีพนี้เสีย เพราะอายุเกือบหกสิบแล้ว แต่ลุงชีพก็ไม่ยอม

 

        หน้าแล้งแล้วงูเริ่มหายากขึ้นทุกที บางทีงูสิงตาลาน งูเหลือมงูพื้นๆ ซึ่งไม่เป็นที่นิยมของนักบริโภคลุงชีพแกก็จับ จับได้แล้วแกจะนำมาลอกหนังทั้งยังเป็นๆ เพื่อนำหนังไปขาย ส่วนตัวก็โยนทิ้งไปในแม่น้ำ

ตอนที่โยนพอตัวแตะพื้นน้ำงูจะดิ้นน้ำกระจายทีเดียว คงเจ็บแสบมาก

จากนั้นงูก็จมหายไปในน้ำ ลุงชีพจะถูกสาปแช่งจากเพื่อนบ้านและผู้พบเห็นเป็นประจำ

หน้าแล้งแกจะเหมารถเล็กมารับครอบครัวนักพิฆาตงู อีกสามครอบครัว ซึ่งเป็นเพื่อนของแกออกล่างูตามต่างอำเภอ

วันหนึ่งแกพร้อมกับลูกชายสองคน ออกเดินทางไปตั้งแต่ตีห้าจนเที่ยงคืนแล้ว ป้าสายยังนั่งคอยสามีและลูก เสียงเจ้าด่างเห่ากรรโชกสี่ห้าครั้ง แกชะเง้อมองตามเสียง มีเสียงจุ๊ปากเบาๆ พร้อมตะโกนเรียก

“ป้าสาย ป้าสาย ดูหมาด้วย”

แกจำเสียงได้ว่านั้นเป็นเสียงกำนันฉาย แกรีบลุกจุดตะเกียง เปิดประตูหัวบันไดลงไปหา

“มีธุระอะไรหรือพ่อกำนัน เชิญนั่งข้างบนก่อนซิ”

กำนันฉายกลับตอบว่า “ไปโรงพยาบาลกันเถอะป้าสาย เขาว่าเจ้าชิดและเจ้าเชิดอาการแย่ไปคุยกันในรถเถอะ”

ป้าสายงงๆ เงิ่นๆ ร้องสั่งลูกสาวที่เพิ่งตื่นขึ้นมานั่งฟังเหตุการณ์ “ชวนชมเอ๊ยเฝ้าบ้านนะลูก แม่จะดูพี่เจ้าที่โรงพยาบาล”

สั่งแล้วรีบตะลีตะลานลงบันไดตามกำนันฉายไปขึ้นรถ ซึ่งมีเพื่อนบ้านคอยอยู่สองสามคน กำนันฉายเล่าให้ป้าสายฟังว่า

“ทางโรงพักได้วิทยุมาบอกว่า รถที่บรรทุกนักล่างูรวมเจ็ดชีวิตของลุงชูได้หักมุมเลี้ยวบริเวณใกล้ศาลเจ้า อำเภอไพสาลี ชนกับรถขนมจีนพอดี มีทั้งคนบาดเจ็บแล้วก็ตาย รถขนมจีนมาจากกำแพงเพชร ขายหมดแล้ว จะกลับบ้านคนขับอัดก๊อปปี้ตายคาที่ ส่วนรถของลูกชีพคนขับหนีไป ในจำนวนคนบาดเจ็บสามคนนั้น มีลูกชายของป้าแป้นด้วย”

“ฉันบอกให้เลิกๆ พี่เขาก็ไม่เชื่อ” ป้าสายรำพันน้ำตานองหน้า

“นี่แหละเวรกรรมแท้ๆ เชียว”

กำนันคอยปลอบอกปลอบใจตลอดเวลา “เจ้าชิดเจ้าเชิดอาจไม่เป็นอะไรหรอกน่ะ ทำใจดีๆ เอาไว้”

เหมือนถูกถลกหนัง ที่โรงพยาบาลป้าสายเดินตัวปลิวนำหน้าพรรคพวก กำนันฉายรีบไปถามพนักงานที่อยู่ใกล้ๆ หลังจากทราบว่าอยู่ชั้นไหน ห้องไหนแล้ว ต่างก็รีบขึ้นไปทันที

 

       จากสภาพเจ้าชิดกับเจ้าเชิดทั้งสองมีบาดแผลลักษณะใกล้เคียงกัน ตามแขน ขา และกลางหลังไม่ทราบไปถูกอะไรเข้า หนังถลกขึ้นไปเหมือนงูถูกถลกหนังยังไงยังงั้นเชียว

เห็นสภาพของลูกแล้ว ป้าสายปล่อยโฮไม่อายใครเลยพรรคพวกต้องคอยปลอบอกปลอบใจ แต่ทุกคนที่พบเห็นก็อดสังเวชใจไม่ได้ ชิดกับเชิดร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา ส่วนลุงชีพนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างๆ เตียงลูก

ป้าสายนั้นอยากจะว่าลูกชีพเต็มแก่ เพราะแกไม่เลิกอาชีพนี้ จึงทำให้ลูกๆ ต้องประสบเคราะห์กรรมไปด้วย แต่เห็นสภาพตอนนี้แล้วก็ต่อว่าไม่ลง หน้าลุงชีพนั้นซีดขาวเหมือนคนตกใจสุดขีด นั่งก้มหน้าคล้ายสำนึกผิด

แต่สายเสียแล้วเพราะในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น มัจจุราชได้พรากชีวิตลูกชายทั้งสองของแกไปเสียแล้ว เขาเสียชีวิตห่างกันเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น

ศพของเชิดและชิดถูกตั้งเคียงกันในศาลาการเปรียญ เพื่อรอการสวด

“แม่สายเตรียมปัจจัย ถวายพระเรียบร้อยหรือยังล่ะ” กำนันฉายหันมาถามป้าสาย

“เรียบร้อยแล้วจ๊ะพ่อกำนัน”

ป่าสายตอบเสียงเครือ แกร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ศพออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็ได้กำนันฉาย ป้าปุย และเพื่อนบ้านช่วยปลอบอกปลอบใจอยู่ตลอดเวลา ลุงชีพนั้นไม่ต้องพูดถึง แกไม่ได้สติสะตังอะไรเอาเลย เหม่อลอยเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ

อีกสักสิบนาที พระก็ลงมายังศาลาการเปรียญ เสียงชวนชมเรียกแม่เบาๆ ว่า

“แม่ แม่ แม่เห็นอะไรตรงเสาไหมจ๊ะ งูใช่ไหมแม่”

ป้าสายและเพื่อนบ้านที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลียวมองตามมือของชวนชม

อา! เสาตันที่มีหีบศพสองพี่น้องตั้งอยู่นั้น งูเห่าสองตัวขนาดเท่าๆ กัน ซึ่งตัวโตเท่าข้อเท้าคนโต ค่อยๆ เลื้อยตามกันมา มันตรงดิ่งไปที่หีบศพเลื้อยวนไปรอบๆ แล้วเลื้อยขึ้นไปบนหีบศพตัวละหีบ

หลังจากหายตกตะลึงแล้วเพื่อนชายของชวนชมกลุ่มหนึ่งต่างลุกขึ้นหาอาวุธ เพื่อจะนำมาทำร้ายเจ้าดำมะเมื่อมสองตัวนั่น ขณะมันกำลังชะเง้อมองไปรอบๆ

“อย่า”

ป้าสายสั่งเสียงดังลั่น แกรีบถลันเข้าไปกั้นกลางวัยรุ่นกลุ่มนั้นทันที พร้อมกับละล่ำละลักว่า

“นั่นชิดกับเชิด อย่าไปทำร้ายเขาลูก เห็นไหมเขาไม่มีท่าทางดุร้ายอะไรเลย ปล่อยเขาไปเถอะลูก”

,กรร

 

        ดูแกช่างมั่นใจเสียจริงๆ ว่านั่นคือลูกของแก เจ้าสองตัวชูคออยู่สักครู่หนึ่ง ขณะที่หลวงพ่อกำลังเดินนำหน้าพระลูกวัดมานั่นเอง เจ้าสองตัวก็ค่อยๆ เลื้อยตามเสาหายไปใต้ถุนศาลาการเปรียญ

ป้าสายร้องโฮ ลุงชีพน้ำตาไหลริน น้ำตาลูกผู้ชายอาจจะออกจากความสำนึกผิดหรือกลัวเวรกรรม ไม่มีใครทราบได้นอกจากตัวของลุงชีพเอง

หลังจากฌาปนกิจศพลูกแล้ว ลุงชีพเศร้าซึมไปมาก แกเลิกอาชีพจับงูขายโดยเด็ดขาด กะว่าเข้าพรรษาข้างหน้านี้จะต้องเข้าวัดถือศีลแปดเสียที แกนึกในใจไม่เห็นต้องให้ป้าสายบังคับเลย

อนิจจาฟ้าดินคงกำหนดให้ลุงชีพเกิดมาเป็นคนบาปเพียงอย่างเดียว เพราะอีกไม่กี่วันจะเข้าพรรษานั้นเอง ลุงชีพที่เคยแข็งแกร่งก็กลับอ่อนแอ หน้ามืดอยู่บ่อยๆ ชวนชมพาพ่อไปตรวจที่สถานีอนามัยข้างบ้าน ได้ความว่า ลุงชีพเป็นความดันสูง

แกใช้เวลาส่วนมากอยู่กับที่นอนหรือไม่ก็เอนหลังกับแคร่ใต้ถุนบ้าน แม้แต่จะลุกขึ้นช่วยป้าสายมัดผักเป็นกำๆ ไปขายที่ตลาดเล็กๆ หน้าบ้าน ก็ทำไม่ได้ ลุงชีพเหมือนคนไร้สมรรถภาพ ความทุกข์เริ่มทับโถมเข้ามาเรื่อยๆ ยังไม่คลายจากความทุกข์ที่ต้องสูญเสียลูกไป ตัวเองก็มีโรคภัยไข้เจ็บมาทับถมอีก

และแล้วในเช้ามืดของวันเข้าพรรษานั้นเอง ลุงชีพค่อยๆ ลงบันไดเพื่อมาเข้าห้องน้ำด้านล่างอีกสี่ขั้นก็จะถึงพื้นดินอยู่แล้ว แกเกิดหน้ามืดตกบันไดลงมาเสียงดัง โครม

ชวนชมและป้าสายซึ่งกำลังช่วยกันทำกับข้าวไปวัดรีบวิ่งมาดู และช่วยกันพยุงไปนั่งบนแคร่ แกบอกขอนอนพักผ่อนก่อน

“ชวนชมไปหายากันยุงมาจุดให้พ่อไป๊” ป้าสายหันไปสั่งลูกสาวแล้วคว้าตะเกียงส่องตามตัวลุงชีพ

“พ่อชีพเจ็บตรงไหนบ้าง” ป้าสายถาม

“ไม่เป็นไรหรอก” ลุงชีพพูด “ไปทำกับข้าวเถอะ”

หลังจากป้าสายกลับจากวัด ชวนชมจัดข้าวปลาลงไปให้พ่อรับประทาน ขณะที่ลุงชีพขยับตัวลุกขึ้นนั่งนั่นเอง แกเริ่มรู้สึกชาที่ขาทั้งสองข้าง แกจึงนอนลงอย่างเก่า บอกชวนชมและป้าสายว่าขาไม่มีแรง ป้าสายจึงลองขยับดู ลุงชีพขยับไม่ได้ ทั้งครอบครัวจึงรู้ว่าลุงชีพเป็นอัมพาต

ป้าสายรีบเหมารถพาไปโรงพยาบาล แต่หมอก็หมดปัญญาจะช่วย แกอยู่ทำกายภาพบำบัดหลายวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ป้าสายจึงพากลับบ้านเนื่องจากกล้ามเนื้อใช้การไม่ได้ตั้งแต่โคนขา เวลาแกจะลุกไปไหนลุงชีพก็ต้องใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นไปคล้ายเด็กหัดคลานแต่ไปได้ช้ามาก

ป้าปุยพี่สาวป้าสาย มาเยี่ยมยังกระซิบกับชวนชมว่าคล้ายงูเลื้อยนิ

 

 

ลุงชีพแกโชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ต้องเป็นอัมพาตนานนัก อีกประมาณสองเดือนต่อมาแกมีอาการทรุดหนัก ทุรนทุรายปวดแสบปวดร้อนตามตัวอยู่ตลอดเวลา บางทีก็เห็นไปว่ามีงูหลายชนิดทั้งมีพิษและไม่มีพิษล้อมรอบตัวแก และทำท่าทางจะเข้ามากัดแกด้วย บางทีก็ร้องโวยวายให้ลูกเมียช่วย แกว่าแกถูกงูรัด

บางทีก็เพ้อว่า ลูกชายทั้งคู่มาหา อยู่ๆ ก็หาว่าลูกชายกลายเป็นงู อาการของลุงชีพทำความหนักใจให้ป้าสายและชวนชมมาก มีเพื่อนบ้านมานอนเฝ้าอยู่สี่ห้าคน

และแล้ววาระสุดท้ายก็มาถึง ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น ลุงชีพอาการหนักมาก หูเริ่มไม่ได้ยินเสียงตาเริ่มฝ้ามัว แต่แกก็เพ้อไม่ขาดปาก

“โอยปวดแสบปวดร้อนเหลือเกินแล้ว เอาหนังกูมา เอาหนังกูมา”

คนเฝ้าไข้ได้ยินแล้วสะท้านไปตามๆ กัน บางคนก็ซุบซิบว่านี่แหละกรรมทันตาเห็นละ

และแล้วในตอนใกล้เพลนั่นเองลุงชีพแกก็สิ้นใจ ด้วยดวงตาที่เหลือกลานคล้ายตกใจสุดขีด

ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็มีความคิดตรงกันว่าลุงชีพไม่ได้ไปสู่สุคติเป็นแน่แท้ นรกเท่านั้นที่จะมีโอกาสรับรองวิญญาณบาปของแก

 

Tags : , , , , , , ,
Leave Comment